พลังของกลิ่น

ธรรมชาติเป็นแหล่งที่มาของกลิ่นหอมที่อุดมสมบูรณ์ที่สุด ไม่ว่าจะเป็นกลิ่นไม้ ผลไม้ หรือดอกไม้ ต่างก็ถูกนำมาทำเป็นน้ำหอมสำหรับประทินกายและปรับอากาศภายในบ้านมานับพันปีแล้ว  ยิ่งไปกว่านั้นกลิ่นหอมละมุนจากธรรมชาติยังถูกนำมาใช้เป็นยารักษาฟื้นฟูร่างกายและผ่อนคลายจิตใจมาเป็นสหัสวรรษ ก่อนหน้าที่ คำว่า การบำบัดโดยกลิ่น หรือ อโรมาเธอราพี จะเป็นที่รู้จักกันในปัจจุบันเสียอีก

ประวัติความเป็นมาของกลิ่น

ประสาทสัมผัสทางกลิ่นถือว่าเป็นประสามสัมผัสเริ่มแรกของสัตว์โลกเลยทีเดียว หากเราสังเกตสัตว์สี่ขาขนปุยน้อยใหญ่ แล้วลองเดินแบบสี่ขาแบบพวกมันดูบ้าง จมูกของเราจะอยู่เหนือพื้นดินเพียงเล็กน้อย ประสาทสัมผัสทางกลิ่นจึงเป็นประสามสัมผัสแรกเช่นเดียวกัน เนื่องจากมนุษย์เราได้พัฒนามาถึงจุดที่ยืนและเดินได้ด้วยขาเพียงสองขา ประสามสัมผัสทางการมองเห็นก็เริ่มเข้ามาแทนที่จนเป็นประสาทสัมผัสที่สำคัญ ในขณะที่ประสาทสัมผัสทางกลิ่นเริ่มลดความหมาย แต่อย่างไรก็ตาม หากสังเกตดูจากสำนวนที่ว่า ดมหาความจริง หรือ ได้กลิ่นไม่น่าไว้วางใจ ก็จะเห็นความเกี่ยวข้องกันระหว่างประสาทสัมผัสทางการได้กลิ่นกับประสาทสัมผัสโดยสัญชาตญาณ หรือที่เราเรียกกันว่า ประสาทสัมผัสที่หกนั่นเอง

วิทยาศาสตร์เกี่ยวกับกลิ่น

ประสาทสัมผัสทางการได้กลิ่นนับว่าเป็นประสาทสัมผัสที่ทรงพลังที่สุด  มีเพียงแค่จมูกชั้นในของมนุษย์เท่านั้นที่ระบบประสาทส่วนกลางสามารถติดต่อกับโลกภายนอกได้ เพียงแค่กลิ่นธรรมดาๆก็สามารถกระตุ้นให้เกิดการโต้ตอบทางอารมณ์โดยธรรมชาติได้ง่ายๆ โดยเกิดขึ้นรวดเร็วกว่าสมองจะประมวลข้อมูลที่ได้รับมาเสียอีก กลิ่นจึงเป็นสิ่งทรงพลังที่สามารถทำให้เราสุขหรือเศร้าได้ก่อนที่เราจะรู้สึกตัวด้วยซ้ำ

ความมหัศจรรย์ของกลิ่น

ประสาทสัมผัสทางการได้กลิ่นของเรานับว่าเป็นเครื่องย้อนเวลาอันแสนวิเศษเลยทีเดียว นักปราชญ์ผู้มีชื่อเสียงคนหนึ่งเคยกล่าวไว้ว่า กลิ่นที่ได้สัมผัสอาจสามารถทำให้เราหวนระลึกถึงความทรงจำที่เคยได้จากกลิ่นนั้นๆได้เป็นปีๆเลยก็ว่าได้ ไม่ว่ามันจะเป็นกลิ่นของการอบขนมที่ทำให้เรานึกถึงตอนอยู่ในห้องครัวของคุณยาย หรือจะเป็นกลิ่นไม้จากดินสอที่ทำให้เราหวนนึกถึงตอนที่เรายังเป็นนักเรียนอยู่ กลิ่นเป็นสิ่งที่มีพลังที่ทำให้เราย้อนอดีตกลับไปได้โดยเหมือนกับว่าเวลายังไม่เดินผ่านมาเลย

กลิ่นหอมละมุนเปรียบเสมือนของขวัญชิ้นเอกที่กระตุ้นวินาทีอันตื่นเต้นของความสุข หากคุณลองดมกลิ่นซ่าๆของเปลือกส้ม คุณก็จะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าเหมือนวัยหนุ่มสาวได้โดยทันที และหากคุณลองปิดตาและลองดมกลิ่นหวานๆของดอกไม้ มันก็จะทำให้คุณรู้สึกเหมือนสูดอากาศอันสดชื่นในฤดูใบไม้ผลิได้เลยทีเดียว จริงๆแล้ว คำว่า“สูดอากาศ” ยังมีความหมายทางตัวอักษรได้ว่า “ดลบันดาลใจ” ในภาษาอังกฤษอีกด้วย